วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การเขียน Function ใน PHP

                           การเขียน Function ใน PHP


ในการเขียนโปรแกรม การทำงานซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง ถือเป็นเรื่องปกติในการเขียน ซึ่งการจะใช้โค้ดเดียวกันซ้ำ ๆ กันนั้น ส่วนมากเค้าไม่เขียนซ้ำ ๆ กันบ่อย ๆ แต่จะเขียนฟังก์ชันการทำงานขึ้นมา แล้วเวลาต้องการใช้ซ้ำ ๆ กัน ก็เพียงแค่เรียกชื่อฟังก์ชันขึ้นมาก็ถือว่าเป็นอันสิ้นสุด ดังนั้น ในบทความนี้ เรามาดูฟังก์ชันในภาษา PHP กัน

ฟังก์ชันใน PHP มีอยู่ 2 แบบ นั่นคือ ฟังก์ชันมาตรฐาน (Built-In Function) ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ภาษา PHP มีให้อยู่แล้วสามารถเรียกใช้ได้เลย เช่น ฟังก์ชัน Date, sort เป็นต้น และฟังก์ชันอีกแบบคือ ฟังก์ชันแบบที่เราสร้างขึ้นเอง (User-Defined Function: UDF) ฟังก์ชันที่เราสร้างเองเป็นยังไง และสร้างยังไง มาดูกัน


เรามาดู Syntax ของการสร้างฟังก์ชันกันก่อน ตามด้านล่างเลยคะ



วิธีการตั้งชื่อฟังก์ชัน

ชื่อของฟังก์ชันควรสื่อความหมายที่ฟังก์ชันทำงาน
ชื่อของฟังก์ชันต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรหรือขีดล่างเท่านั้น
ต่อไปมาดูตัวอย่างการสร้างและการเรียกใช้กันคะ

ตัวอย่างการเขียนฟังก์ชัน ตัวอย่างแรก

                        ตัวอย่างการเขียนฟังก์ชัน ตัวอย่างแรก



Output ที่ได้คือ
สวัสดีครับ นี่เป็นการทดสอบการเขียนฟังก์ชัน PHP จาก www.doesystem.com
ฟังก์ชันนี้ชื่อ helloDoesystem เวลาต้องการเรียกใช้ ก็แค่เรียกชื่อฟังก์ชัน

ตัวอย่างการเขียนฟังก์ชัน ตัวอย่างที่ 2

                             ตัวอย่างการเขียนฟังก์ชัน ตัวอย่างที่ 2


Output ที่ได้คือ
สวัสดีครับ คุณ Somchai
สวัสดีครับ คุณ SomYing
สวัสดีครับ คุณ Sompong
ฟังก์ชันนี้ชื่อ helloName เวลาต้องการเรียกใช้ ก็แค่เรียกชื่อฟังก์ชันแล้วตามด้วยพารามิเตอร์ name ที่ต้องการให้แสดงออก


ตัวอย่างการเขียนฟังก์ชัน ตัวอย่างที่ 3

                           ตัวอย่างการเขียนฟังก์ชัน ตัวอย่างที่ 3

Output ที่ได้คือ
สวัสดีครับ คุณ นารัตน์ พัดลมโชย
สวัสดีครับ คุณ หรูหรา ออมตง
สวัสดีครับ คุณ นางหวด สวามิพัก

ฟังก์ชันนี้ชื่อ helloName เวลาต้องการเรียกใช้ ก็แค่เรียกชื่อฟังก์ชันแล้วตามด้วยพารามิเตอร์ name กับ lastname ที่ต้องการให้แสดงออก





ตัวอย่างการเขียนฟังก์ชัน ตัวอย่างที่ 4

         

                  ตัวอย่างการเขียนฟังก์ชัน ตัวอย่างที่ 4

        Output ที่ได้คือ

5 5 + 2 = 7 ฟังก์ชันนี้ชื่อ add เป็นฟังก์ชันบวกเลขสองตัว เวลาต้องการเรียกใช้ ก็แค่เรียกชื่อฟังก์ชันแล้วตามด้วยพารามิเตอร์ x กับ y ที่ต้องการบวกกัน เวลาต้องการแสดงก็สั่ง echo ด้วยเพราะว่า ในฟังก์ชัน return ค่าออกมา




วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ฐานข้อมูล

ฐานข้อมูล

ความหมายของฐานข้อมูล
ฐานข้อมูล หมายถึง  แหล่งที่ใช้สำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งอยู่ในรูปแฟ้มข้อมูลมารวมไว้ที่เดียวกัน รวมทั้งต้องมีส่วนของพจนานุกรมข้อมูล (data dictionary) เก็บคำอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างของฐานข้อมูล และเนื่องจากข้อมูลที่จัดเก็บนั้นต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทำให้สามารถสืบค้น (retrieval) แก้ไข (modified) ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ข้อมูล (update) และจัดเรียง (sort) ได้สะดวกขึ้นโดยในการกระทำการดังที่กล่าวมาแล้ว ต้องอาศัยซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับจัดการฐานข้อมูล

หน้าที่ของฐานข้อมูล
การนิยามข้อมูล (Data Definition) ต้องสามารถรับการนิยามข้อมูลได้ เช่น การกำหนดเค้าร่างภายนอก เค้าร่างแนวคิด เค้าร่างภายใน และการเชื่อมทุกตัวที่เกี่ยวข้อง จากนั้นแปลงนิยามนั้นให้เป็นวัตถุ ดังนั้น ระบบจัดการฐานข้อมูลต้องมี ตัวประมวลผลภาษานิยามข้อมูล
การจัดดำเนินการข้อมูล (Data Manipulation) ระบบฯ ต้องสามารถจัดการคำร้องในการสืบค้น ปรับปรุง ลบ เพิ่มข้อมูลได้ ดังนั้น ระบบฯ จึงต้องมีตัวประมวลผลภาษาจัดดำเนินการข้อมูล การร้องขอให้จัดดำเนินการข้อมูลอาจเป็น การร้องขอที่แจ้งล่วงหน้า (Planned Request) ซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนการ Execute เป็นอย่างดี
การแปลงคำสั่งให้เหมาะสมที่สุดและการเอ็กซีคิวคำสั่ง ระบบบริหารฐานข้อมูล จะมี Optimizer เป็นซอฟต์แวร์ที่รับเอาคำร้องขอ โค้ดคำสั่งวัตถุนั้นมาตรวจดูก่อนรันเพื่อดูว่าจะรันอย่างไรจึงจะดีที่สุด กล่าวคือ ให้ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด เช่น จะใช้วิธีใดในการเข้าถึงข้อมูล X จึงจะเหมาะสมที่สุด
ความปลอดภัยและความถูกต้องของข้อมูล ระบบฯ จะต้องยอมให้ผู้บริหารฐานข้อมูล (DBA) สามารถเขียนคำสั่ง หรือกำหนดกฎความถูกต้องได้
การฟื้นฟูสภาพข้อมูลและสภาวะพร้อมกัน ระบบฯ ต้องสนับสนุนให้ผู้บริหารฐานข้อมูลสามารถสั่งให้ ตัวจัดการธรุกรรม ให้ทำการฟื้นฟูสภาพ และควบคุมสภาวะการเข้าถึงฐานข้อมูลแบบพร้อมกันได้
พจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ระบบฯ ต้องสร้างพจนานุกรมข้อมูลของมันเองขึ้นมาได้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ได้

ประโยชน์ของฐานข้อมูล
1 ลดการเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ข้อมูลบางชุดที่อยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูลอาจมี
ปรากฏอยู่หลาย ๆ แห่ง เพราะมีผู้ใช้ข้อมูลชุดนี้หลายคน เมื่อใช้ระบบฐานข้อมูลแล้วจะช่วยให้
ความซ้ำซ้อนของข้อมูลลดน้อยลง
2 รักษาความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากฐานข้อมูลมีเพียงฐานข้อมูลเดียว ใน
กรณีที่มีข้อมูลชุดเดียวกันปรากฏอยู่หลายแห่งในฐานข้อมูล ข้อมูลเหล่านี้จะต้องตรงกัน ถ้ามีการ
แก้ไขข้อมูลนี้ทุก ๆ แห่งที่ข้อมูลปรากฏอยู่จะแก้ไขให้ถูกต้องตามกันหมดโดยอัตโนมัติด้วย
ระบบจัดการฐานข้อมูล
2.3 การป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลทำได้อย่างสะดวก การ
ป้องกันและรักษาความปลอดภัยกับข้อมูลระบบฐานข้อมูลจะให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ซึ่งก่อให้เกิดความปลอดภัย(security) ของข้อมูลด้วย
                                                                                                                                                                                                                                         

ยกตัวอย่างฐานข้อมูล


ยกตัวอย่างฐานข้อมูล


1. ฐานข้อมูลในโรงเรียน จะเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียน ครู ภารโรง พัสดุ    สิ่งของ ฯลฯ อาจบันทึกข้อมูลลงกระดาษ แบบฟอร์มหรือจัดเก็บลงคอมพิวเตอร์ เมื่อมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็น ระเบียบ การค้นหาก็ทำได้ง่าย

2. ฐานข้อมูลของร้านค้า เมื่อมีการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและลูกค้าอย่างเป็นระบบดีแล้ว การ จัดการก็ง่าย สินค้ามีกี่รายการ ต้นทุน กำไรเท่าไร ก็ดูได้ทันที ในโลกธุรกิจ การมีข้อมูลจำนวนมากและมี การจัดการที่ดี มีผลต่อความได้เปรียบในการทำธุรกิจและการประสบความสำเร็จ

3. ฐานข้อมูลบัญชีครัวเรือน จะเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายในการใช้เงินในแต่ละวันของครัวเรือน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ อาจบันทึกข้อมูลลงกระดาษ แบบฟอร์มหรือจัดเก็บลงคอมพิวเตอร์ เมื่อมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็น ระเบียบ การค้นหาก็ทำได้ง่าย

4. ฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ จะเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเงินที่ได้รับจากการออมเงินของสมาชิกในแต่ละวัน และจะมีการบันทึกอย่างต่อเนื่อง หากมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสหกรณ์ก็จะมีการลงบันทึกไว้และมีการเก็บใบเสร็จไว้เป็นหลักฐาน ฯลฯ อาจบันทึกข้อมูลลงกระดาษ แบบฟอร์มหรือจัดเก็บลงคอมพิวเตอร์ เมื่อมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็น ระเบียบ การค้นหาก็ทำได้ง่าย

5. ฐานข้อมูลระบบห้องสมุด ยืม-คืน จะเป็นการจัดการเกี่ยวกับการยืม-คืนหนังสือ ให้ง่ายต่อการค้นหา จะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เัช่น ข้อมูลหนังสือ ข้อมูลการยืม ข้อมูลการคืน
รหัสและประเภทหนังสือ ฯลฯ ทำให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น

การติดตั้ง AppServ

การติดตั้ง AppServ

เตรียมโปรแกรมเพื่อติดตั้ง
       
    ดาวน์โหลดโปรแกรม AppServ จากเว็บไซต์ http://www.appservnetwork.com โดยเลือกเวอร์ชั่นที่ต้องการติดตั้งระหว่างเวอร์ชั่น 2.4.x และ 2.5.x 
โดยความแตกต่างของ 2 เวอร์ชั่นนี้คือ 
     
 2.4.x คือเวอร์ชั่นที่นำ Package ที่มีความเสถียรเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงของระบบโดยไม่ได้มุ่งเน้นที่จะใช้ฟังก์ชั่นใหม่
 2.5.x คือเวอร์ชั่นที่นำ Package ใหม่ๆ นำมาใช้งานโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการระบบใหม่ๆหรือต้องการทดสอบ ทดลองใช้งานฟังก์ชั่นใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ได้ความเสถียรของระบบได้ 100% เนื่องจากว่า Package จากนักพัฒนานั้น ยังอยู่ในช่วงของขั้นทดสอบ ทดลองเพื่อหาข้อผิดพลาดอยู่


ขั้นตอนการติดตั้ง AppServ

       1. ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ appserv-win32-x.x.x.exe เพื่อทำการติดตั้ง จะปรากฏหน้าจอตามรูปที่ 1




รูปที่ 1 ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม AppServ 

       2. เข้าสู่ขั้นตอนเงื่อนไขการใช้งานโปรแกรม โดยโปรแกรม AppServ ได้แจกจ่ายในรูปแบบ GNU License หากผู้ติดตั้ง
  อ่านเงื่อนไขต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว หากยอมรับเงื่อนไขให้กด Next เพื่อเข้าสู่การติดตั้งในขั้นต่อไป แต่หากว่าไม่ยอมรับเงื่อนไข  ให้กด Cancel เพื่อออกจากการติดตั้งโปรแกรม AppServ 
ดังรูปตัวอย่างที่ 2


                       รูปที่ 2 แสดงรายละเอียดเงื่อนไขการ GNU License

       
3.เข้าสู่ขั้นตอนการเลือกปลายทางที่ต้องการติดตั้ง โดยค่าเริ่มต้นปลายทางที่ติดตั้งจะเป็น C:AppServ หากต้องการเปลี่ยนปลายทางที่ติดตั้ง ให้กด Browse แล้วเลือกปลายทางที่ต้องการ ตามรูปที่ 3 เมื่อเลือกปลายทางเสร็จสิ้น ให้กดปุ่ม Next เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการติดตั้งขั้นต่อไป


 รูปที่ 3 เลือกปลายทางการติดตั้งโปรแกรม AppServ

      
 4. เลือก Package Components ที่ต้องการติดตั้ง โดยค่าเริ่มต้นนั้นจะให้เลือกลงทุก Package แต่หากว่าผู้ใช้งาน
           
ต้องการเลือกลงเฉพาะบาง Package ก็สามารถเลือกตามข้อที่ต้องการออก โดยรายละเอียดแต่ละ Package มีดังนี้
    - Apache HTTP Server คือ โปรแกรมที่ทำหน้าเป็น Web Server
    - MySQL Database คือ โปรแกรมที่ทำหน้าเป็น Database Server
    - PHP Hypertext Preprocessor คือ โปรแกรมที่ทำหน้าประมวลผลการทำงานของภาษา PHP
    - phpMyAdmin คือ โปรแกรมที่ใช้ในการบริหารจัดการฐานข้อมูล MySQL ผ่านเว็บไซต์
 เมื่อทำการเลือก Package ตามรูปที่ 4 เรียบร้อยแล้ว ให้กด Next เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการติดตั้งต่อไป


รูปที่ 4 เลือก Package Components ที่ต้องการติดตั้ง



5. กำหนดค่าคอนฟิกของ Apache Web Server มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ส่วน ตามรูปที่ 5 คือ
  
 Server Name   คือช่องสำหรับป้อนข้อมูลชื่อ Web Server ของท่านเช่น                                       www.appservnetwork.com

 Admin Email   คือช่องสำหรับป้อนข้อมูล อีเมล์ผู้ดูแลระบบ เช่น root@appservnetwork.com 

 HTTP Port     คือช่องสำหรับระบุ Port ที่จะเรียกใช้งาน Apache Web Server 
                
 http://www.appservnetwork.com:99 จึงจะสามารถเข้าใช้งานได้


รูปที่ 5 แสดงการกำหนดค่าคอนฟิกค่า Apache Web Server



6. กำหนดค่าคอนฟิกของ MySQL Database มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ส่วน ตามรูปที่ 6 คือ

Password       คือช่องสำหรับป้อน รหัสผ่านการเข้าใช้งานฐานข้อมูลของ Root หรือผู้ดูแลระบบ
                ทุกครั้งที่เข้าใช้งานฐานข้อมูลในลักษณะที่เป็นผู้ดูแลระบบ ให้ระบุ user คือ root Character Sets ใช้ในการกำหนดค่าระบบภาษาที่ใช้ในการจัดเก็บฐานข้อมูล, เรียงลำดับฐานข้อมูล,
                Import ฐานข้อมูล, Export ฐานข้อมูล, ติดต่อฐานข้อมูล 
Old Password    หากท่านมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน PHP กับ MySQL API เวอร์ชั่นเก่าโดยเจอ                   Errordoes not support authentication protocol requested by                       serverconsiderupgrading MySQL clienให้เลือกในส่วนของ Old Password                   เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้
Enable InnoDB  หากท่านต้องการใช้งานฐานข้อมูลในรูปแบบ InnoDB ให้เลือกในส่วนนี้ด้วย





                 รูปที่ 6 แสดงการกำหนดค่าคอนฟิกของ MySQL Database

       
7. สิ้นสุดขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม AppServ สำหรับขั้นตอนสุดท้ายนี้จะมีให้เลือกว่าต้องการสั่งให้มีการรัน Apache และ MySQL
           ทันทีหรือไม่ จากนั้นกดปุ่ม Finish เพื่อเสร็จสิ้นการติดตั้งโปรแกรม AppServ


รูปที่ 7 แสดงหน้าจอขั้นตอนสิ้นสุดการติดตั้งโปรแกรม AppServ








การสร้างฐานข้อมูล

การสร้างฐานข้อมูล


   หลังจากที่เราได้ทำการติดตั้ง appserv ในเครื่องของเราเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็จะมาพูดถึงการสร้างฐานข้อมูลเพื่อใช้สำหรับติดตั้ง WordPress ซึ่งเราจะสร้างโดยผ่านทาง phpMyAdmin ให้กับเว็บไซต์ของเรา โดยมีขั้นตออนดังนี้
 
1. เปิดเว็บเบราเซอร์เข้าลิ้งค์ แล้วก็พิมพ์คำว่า http://localhost  หรือ  http://127.0.0.1 ก็จะได้หน้าตาแบบนี้ขึ้นมา


2. คลิกที่ phpMyAdmin หรือเข้าที่ลิ้งค์ http://localhost/phpmyadmin



    3.3. ให้ใส่ชื่อผู้ใช้และหรัสผ่าน

-ชื่อผู้ใช้งาน ใส่ root
-รหัสผ่าน อันเดียวกับตอนที่ติดตั้ง appserv ในตอนแรก



4. ให้ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
หมายเลข 1 ให้เลือกเป็นแบบ utf8_genneral_cl
หมายเลข 2 ให้ตั้งชื่อฐานข้อมูล ชื่ออะไรก็ได้แต่ต้องเป้นภาษาอังกฤษ
หมายเลข 3 เมื่อทำ ข้อ 1 และ 2 เสร็จแล้วก็ให้ทำตามคลิกสร้างได้เลย